แนวรับและแนวต้าน Support and Resistance คืออะไร?
Published by Indy Trader Academy on
แนวรับและแนวต้าน Support and Resistance คืออะไร?
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี แนวรับและแนวต้านทำหน้าที่เป็นระดับราคาที่สำคัญ ซึ่งช่วยบ่งบอกถึงจุดกลับตัวหรือการเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ของราคา โดยสามารถใช้ในการวิเคราะห์เพื่อหาจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
แนวรับ (Support) คืออะไร?
แนวรับเป็นระดับราคาที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะหยุดลงและมีโอกาสเด้งกลับขึ้นไป เป็นจุดที่แรงซื้อเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้น จึงช่วยดันราคาให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง แนวรับมักเป็นตัวบ่งบอกถึงระดับราคาที่ผู้ซื้อเริ่มมองว่าราคาน่าสนใจและยินดีที่จะเข้าซื้อเพิ่ม ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์พื้นฐานหรือความเชื่อมั่นในตลาด
– ตัวอย่าง: หากราคาของคู่สกุลเงิน EUR/USD ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.1000 หลายครั้งแล้วแต่ไม่ลดลงต่อ แสดงว่า 1.1000 เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งของคู่สกุลเงินนี้
แนวต้าน (Resistance) คืออะไร?
แนวต้านเป็นระดับราคาที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะหยุดขึ้นและมีโอกาสกลับตัวลง เป็นจุดที่แรงขายเริ่มเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการซื้อ ซึ่งจะช่วยดันราคาให้ปรับตัวลง แนวต้านจึงทำหน้าที่เป็นระดับราคาที่นักลงทุนมองว่าสูงเกินไปที่จะซื้อเพิ่ม ทำให้เกิดแรงกดดันให้ราคาลดลง
– ตัวอย่าง: หากราคาของทองคำปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 2000 USD หลายครั้งแล้วไม่สามารถทะลุระดับนี้ได้ แสดงว่า 2000 USD เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง
วิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน
การหาแนวรับและแนวต้านสามารถทำได้หลายวิธีโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งรวมถึง:
1. การดูจากจุดสูงสุดและต่ำสุดก่อนหน้า: การวิเคราะห์กราฟราคาเพื่อหาจุดกลับตัวก่อนหน้าซึ่งบ่งบอกถึงระดับแนวรับและแนวต้าน
2. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average): ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มชัดเจน
3. เส้นแนวโน้ม (Trendlines): เส้นแนวโน้มเชื่อมจุดต่ำสุดในช่วงขาขึ้น หรือจุดสูงสุดในช่วงขาลงเพื่อหาแนวรับและแนวต้าน
4. เครื่องมือ Fibonacci Retracement: ใช้เครื่องมือนี้ในการหาระดับราคาที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดแนวรับและแนวต้าน โดยระดับราคายอดนิยมเช่น 38.2%, 50% และ 61.8%
การใช้งานแนวรับและแนวต้านในการเทรด
แนวรับและแนวต้านเป็นแนวทางในการวางแผนการเทรดที่มีประโยชน์ โดยมีวิธีการใช้งานที่หลากหลาย เช่น:
1. การเทรดตามแนวรับและแนวต้าน: เมื่อราคาใกล้ถึงแนวรับ สามารถมองเป็นโอกาสซื้อ หรือเมื่อราคาขึ้นถึงแนวต้านก็อาจมองเป็นโอกาสขาย
2. การเบรกเอาท์ (Breakout): เมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านไป อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม นักเทรดสามารถใช้การเบรกเอาท์เพื่อเข้าซื้อหรือขายในทิศทางใหม่
3. การใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ: การใช้แนวรับและแนวต้านร่วมกับเครื่องมืออย่างอินดิเคเตอร์ MACD หรือ RSI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
ข้อดีของการใช้แนวรับและแนวต้าน
1. ง่ายต่อการเข้าใจ: แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือที่อ่านและเข้าใจง่าย
2. มีประสิทธิภาพในการใช้งานจริง: แนวรับและแนวต้านสามารถช่วยให้นักเทรดเข้าใจแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาได้ดีขึ้น และสามารถช่วยในการวางแผนการซื้อขาย
3. เหมาะกับทุกสภาวะตลาด: ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ขาลง หรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แนวรับและแนวต้านยังคงมีความสำคัญในการวิเคราะห์
ข้อจำกัดของการใช้แนวรับและแนวต้าน
แม้ว่าแนวรับและแนวต้านจะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา:
– อาจเกิดการทะลุแนวรับและแนวต้าน: ไม่มีแนวรับและแนวต้านใดที่มั่นคงตลอดเวลา ราคาสามารถทะลุผ่านระดับเหล่านี้ได้ทุกเมื่อ
– ไม่สามารถใช้เพียงอย่างเดียว: ควรใช้แนวรับและแนวต้านร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
– ตลาดที่มีความผันผวนสูงอาจทำให้แนวรับและแนวต้านไร้ผล: ในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนมาก แนวรับและแนวต้านอาจไม่สามารถบอกแนวโน้มได้อย่างแม่นยำ
สรุป
แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจแนวโน้มและการเคลื่อนไหวของราคาตลาดได้ดียิ่งขึ้น การใช้แนวรับและแนวต้านร่วมกับการวิเคราะห์เชิงเทคนิคอื่นๆ เช่น การเบรกเอาท์ หรือการยืนยันด้วยอินดิเคเตอร์ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ