ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) คืออะไร

Published by Indy Trader Academy on

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) คืออะไร
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) คืออะไร

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) คืออะไร: เครื่องมือพื้นฐานในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages หรือ MA) เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในตลาดการเงินเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคา โดย MA เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของราคาได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความผันผวนของราคาในระยะสั้น ทำให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ดีขึ้น

ประเภทของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

ประเภทของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มีหลายประเภท แต่ประเภทที่นิยมใช้กันหลักๆ คือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (Simple Moving Average) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก (Exponential Moving Average)

1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (Simple Moving Average – SMA)

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่ายหรือ SMA คำนวณโดยการรวมค่าราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด จากนั้นนำมาหารด้วยจำนวนงวด ตัวอย่างเช่น SMA 10 วัน หมายถึงการนำราคาปิดในช่วง 10 วันที่ผ่านมา รวมกันและหารด้วย 10 เพื่อหาค่าเฉลี่ย เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมใช้กันแพร่หลาย

ตัวอย่างการคำนวณ:
สำหรับ SMA 5 วัน จะคำนวณโดยนำราคาปิดในแต่ละวันรวมกัน เช่น (ราคาวันที่ 1 + ราคาวันที่ 2 + ราคาวันที่ 3 + ราคาวันที่ 4 + ราคาวันที่ 5) / 5

2. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โปเนนเชียล (Exponential Moving Average – EMA)

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โปเนนเชียลหรือ EMA เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยที่ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต ทำให้ EMA มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาในปัจจุบันมากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ SMA จึงเหมาะสำหรับการใช้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วในระยะสั้น

ตัวอย่าง: ค่า EMA 10 วัน จะคำนวณให้ราคาวันที่ 10 มีน้ำหนักมากกว่าวันที่ 9 และน้อยลงตามลำดับ

การใช้งาน Moving Averages ในการวิเคราะห์แนวโน้ม

การใช้งาน Moving Averages ในการวิเคราะห์แนวโน้ม

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถใช้ได้หลายวิธีในการวิเคราะห์แนวโน้ม ได้แก่:

1. การหาจุดแนวโน้ม

MA ช่วยบ่งบอกทิศทางของแนวโน้ม ถ้าราคาเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อาจบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) แต่ถ้าราคาเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าเส้น MA อาจเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)

2. การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายเส้น

การใช้ MA หลายช่วงเวลา เช่น SMA 50 วัน และ SMA 200 วันพร้อมกันช่วยบ่งบอกทิศทางที่แข็งแกร่งขึ้น ถ้า SMA 50 วันตัดเหนือ SMA 200 วัน อาจเป็นสัญญาณซื้อที่แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น (เรียกว่า Golden Cross) และถ้าตัดลงต่ำกว่าอาจเป็นสัญญาณขายที่แสดงถึงแนวโน้มขาลง (เรียกว่า Death Cross)

3. การใช้ EMA ในการจับการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น

EMA เป็นค่าเฉลี่ยที่ตอบสนองต่อราคาล่าสุดอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการจับการเคลื่อนไหวในระยะสั้น เช่น เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง อินดิเคเตอร์ EMA จะสามารถแสดงสัญญาณการกลับตัวของราคาได้รวดเร็วกว่า SMA

ข้อดีและข้อจำกัดของ Moving Averages

ข้อดีและข้อจำกัดของ Moving Averages

ข้อดีของการใช้ MA
1. เข้าใจง่าย: ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือพื้นฐานและใช้งานง่าย นักเทรดสามารถนำมาช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ช่วยกรองความผันผวนในระยะสั้น: ค่า MA ช่วยลดความผันผวนของราคา ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มใหญ่ของตลาดได้ง่ายขึ้น
3. ใช้ในการตัดสินใจ: Moving Averages สามารถบ่งบอกจุดเข้าและออกที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเกิด Golden Cross และ Death Cross

ข้อจำกัดของการใช้ MA
1. ความล่าช้า: การคำนวณ MA ทำให้เกิดการตอบสนองที่ล่าช้าต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา จึงไม่เหมาะกับการเทรดที่ต้องการความรวดเร็ว
2. อาจเกิดสัญญาณหลอก: ในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) Moving Averages อาจให้สัญญาณหลอกที่ทำให้นักเทรดตีความผิดพลาดได้

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Moving Averages ในการเทรด

1. การใช้ SMA และ EMA ร่วมกัน: นักเทรดมักใช้ SMA เพื่อดูแนวโน้มในภาพรวมและใช้ EMA เพื่อจับการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เช่น หาก EMA 10 ตัดขึ้นเหนือ SMA 50 อาจเป็นสัญญาณซื้อ
2. การใช้กับอินดิเคเตอร์อื่น: ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถนำไปใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น เช่น RSI หรือ MACD เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม
3. การใช้ Moving Averages ในกลยุทธ์การ Breakout: ค่า MA ช่วยให้เห็นถึงการเบรกจากแนวโน้มเดิม เมื่อราคาเคลื่อนไหวเหนือ MA ที่ใช้กันมากอย่าง SMA 200 วัน เป็นสัญญาณถึงแนวโน้มขาขึ้นใหม่

สรุป

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เป็นเครื่องมือที่ง่ายและทรงพลังที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพรวมของแนวโน้มในตลาดได้ดีขึ้น โดยสามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งการจับแนวโน้ม การหาจุดซื้อขาย และการวิเคราะห์แนวโน้มในระยะสั้น การเลือกใช้ MA ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาดจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น